เลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสดโดยไม่มีอาการเจ็บปวด เป็นเพราะอะไร 

การมีเลือดออกทางช่องคลอด สีแดงสด และไม่มีอาการเจ็บปวด อาจสร้างความกังวลให้แก่ผู้ประสบปัญหาได้ สาเหตุที่เกิดขึ้นอาจมีหลายประการ โดยขึ้นอยู่กับช่วงวัย ประวัติสุขภาพ และสถานการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุที่พบบ่อยและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว  

สาเหตุที่พบบ่อยในผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์  

  1. เลือดออกช่วงกลางรอบเดือน (Ovulation Bleeding): 

   – มักเกิดขึ้นในช่วงกลางรอบเดือนของรอบประจำเดือน เนื่องจากการตกไข่  

   – เลือดมีลักษณะสีแดงสด อาจเกิดเพียงเล็กน้อยและหยุดเองใน 1-2 วัน  

   – ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและไม่ต้องการการรักษา  

 

  1. เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding):

   – เกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวในผนังมดลูก  

   – มักเกิดก่อนวันประจำเดือนเล็กน้อย และเลือดจะออกเพียงเล็กน้อย ไม่มีอาการเจ็บปวดร่วม  

 

  1. เลือดออกจากการใช้ยาคุมกำเนิด:

   – การใช้ยาคุมกำเนิดฮอร์โมน อาจทำให้เกิดเลือดออกกะปริดกะปรอย  

   – เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในช่วงแรกของการเริ่มใช้ยา  

 

สาเหตุที่พบบ่อยในวัยหมดประจำเดือน (Menopause) 

  1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน:  

   – เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง อาจทำให้ผนังมดลูกบางลงและเกิดเลือดออก  

   – สาเหตุนี้มักไม่มีอาการเจ็บร่วม  

  1. ภาวะช่องคลอดแห้ง: 

   – การลดลงของฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน อาจทำให้ช่องคลอดแห้งและเลือดออกได้ง่าย  

 

สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะผิดปกติ

  1. เนื้องอกในมดลูก (Fibroids): 

   – อาจทำให้เลือดออกสีแดงสด โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์  

   – ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บปวด แต่บางรายอาจมีประจำเดือนมามากผิดปกติ  

  1. ติ่งเนื้อที่ปากมดลูก (Cervical Polyps):  

   – เป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กที่บริเวณปากมดลูก ซึ่งมักทำให้เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์  

   – มักไม่เจ็บและสามารถรักษาได้ด้วยการตัดออก  

  1. การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์: 

   – การติดเชื้อบางประเภท เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดเลือดออกแบบไม่เจ็บปวด  

  1. มะเร็งปากมดลูก: 

   – แม้จะพบได้น้อย แต่เลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่มีอาการเจ็บปวด อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก  

   – ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง เช่น การตรวจ Pap Smear  

 

ที่ควรทำเมื่อพบเลือดออกทางช่องคลอด  

  1. สังเกตลักษณะของเลือด: – จดบันทึกปริมาณ สี ความถี่ และปัจจัยกระตุ้น เช่น หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือช่วงเวลาหลังประจำเดือน  
  2. เข้าพบแพทย์:   – หากเลือดออกเป็นเวลานาน หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วม ควรเข้าพบสูตินรีแพทย์เพื่อการวินิจฉัย  
  3. ตรวจสุขภาพประจำปี:  – การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและอัลตราซาวด์ช่องท้อง เป็นวิธีป้องกันปัญหาที่สำคัญ  

 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังโรงพยาบาลรัฐ

Proudly powered by WordPress | Theme: Nomad Blog by Crimson Themes.